วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

รับสมัครเลือกตั้ง นายกฯ อบจ.อุบลฯ วันแรกคึกคัก พรชัย แชมป์เก่าเฮง ได้เบอร์ 1




...............วันที่ 23 เม.ย.55 เป็นวันแรกของการรับสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานีเป็นสถานที่รับสมัคร ในช่วงเช้าของวันแรกในการรับสมัครมีผู้ลงทะเบียนเพื่อยื่นหลักฐานการสมัครจำนวน 3 คน ปรากฏว่าผู้ที่ได้หมายเลข1คือ นายพรชัย โควสุรัตน์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หมายเลข 2 นายจำรูญศักดิ์ จันทรมัย แกนนำ นปช.อุบลราชธานี หมายเลข 3 นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา แกนนำกลุ่มชักธงรบ ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่ติดตามทำข่าวเป็นจำนวนมาก

นายพรชัย โควสุรัตน์ หมายเลข 1 กล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเพื่อที่จะทำงานเพื่อประชาชน ส่วนนโยบายการทำงานนั้น ยังยึดในนโยบายเดิมคือ แก้แล้ง แก้เจ็บ แก้จน และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น แก้ไขปัญหาความแออัดของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เป้าหมายการทำงานทั้งหมดคือ ความสุขของประชาชน
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการพัฒนาด้านการศึกษาถือเป็นยุทธศาสตร์ในการทำงาน เพื่อเตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ส่วนรายละเอียดนโยบายการทำงานนั้นจะแถลงต่อประชาชนถือเป็นสัญญาประชาคม พร้อมมีความมั่นใจในการลงรับสมัครครั้งนี้เนื่องจากประชาชนได้ให้โอกาสมาแล้วถึง 2 ครั้ง และคิดว่าจุดเด่นที่จะได้รับการไว้วางใจคือ นโยบาย การเข้าถึงประชาชน และ การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน

ด้านนายจำรูญศักดิ์ จันทรมัย หมายเลข 2 กล่าวถึงการสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ ต้องการเป็นตัวแทนของคนเสื้อแดงในการทำงานบริหารท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี และมาสมัครด้วยเสียงศรัทธาจากประชาชน โดยจะเดินตามนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก นอกจากนี้จะพยายามผลักดันในหลายโครงการ เช่น การก่อสร้างหอเทียนพรรษา ณ บริเวณบึงหนองขอน การก่อสร้างสวนสัตว์จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมทั้งจะทำการตรวจสอบการบริหารงานช่วงที่ผ่านมาของนายก อบจ. คนเดิม นอกจากนี้ ตนเองยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการแจกเงิน แจกสิ่งของ การทุจริตเลือกตั้ง ของผู้สมัครบางราย พร้อมทั้งมีความมั่นใจว่าด้วยแรงศรัทธาของประชาชน จะทำให้ตนได้เข้ามาบริหาร อบจ.อุบลฯ

ด้านนายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หมายเลข 3 ชูประเด็นนโยบาย เรื่อง ข้าว เรื่องน้ำ เรื่องการศึกษาต้องดี และการกีฬาเด่น ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจะประชาสัมพันธ์ผ่านแผ่นพับ
สิ่งแรกที่อยากแก้ปัญหาให้ประชาชนคือเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องการทุจริต ถือเป็นประเด็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งเสริมให้มีสถานศึกษานานาชาติ หนึ่งอำเภอหนึ่งสนามมวย หนึ่งอำเภอหนึ่งสนามไก่ชน หนึ่งอำเภอหนึ่งหมอ และตนเองมีความมั่นใจว่าจะได้รับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ. เช่นกัน การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้แข่งขันกับผู้สมัครรายใดแต่เป็นการแข่งขันกับกลุ่มประเทศอาเซียน และคิดว่าจะเป็น อบจ.ชุดแรกที่คณะทำงานฝ่ายต่างประเทศ ฝ่ายพาณิชย์ ในการส่งเสริมผลผลิตของประชาชน

สำหรับ ผู้สนใจสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี ได้ที่บริเวณห้องประชุมชั้น 3 สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 27 เมษายน 2555 ส่วนวันเลือกตั้งนั้น มีขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายน 2555 เวลา 08.00-15.00น.

ม.อุบลฯ เตรียมต้อนรับนักศึกษาเกาหลี ๑๖๐ คน สู่โครงการ Overseas Voluntary Services of Far East University ๗ – ๑๑ พ.ค.นี้

ตามที่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ กับ มหาวิทยาลัยฟาร์อีส (Far East University) สาธารณรัฐเกาหลี โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.นงนิตย์ ธีระวัฒนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ร่วมเดินทางเข้าร่วมพิธีลงนาม ณมหาวิทยาลัยฟาร์อีส (Far East University) สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อให้ทั้งสองสถาบันได้แลกเปลี่ยนทางการศึกษาและวัฒนธรรม และด้านอื่นๆร่วมกัน Kee Il Lyu, Ph.D.อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาร์อีส ได้จัดโครงการพร้อมนำคณะอาจารย์และนักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน ๑๖๐ คน เดินทางได้ศึกษาดูงานกิจการของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พร้อมร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ ปลูกต้นไม้ และลงพื้นที่พัฒนาชุมชนโรงเรียนในชนบท อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๗ – ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ 

ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการต้อนรับ ดร.ธรรมวิมล ส่งเสริม อาจารย์ประจำคณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผู้ประสานงานโครงการ ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ในการเตรียมความพร้อมต้อนรับคณะอาจารย์และนักศึกษา ภายใต้ชื่อ “โครงการบำเพ็ญประโยชน์ของนักศึกษา (Overseas Voluntary Services of Far East University)” ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือทั้งสองสถาบัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทางการศึกษา การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือและพัฒนาชุมชน โดยมีอาจารย์และนักศึกษาจาก Far East University, Koreaเข้าร่วมจำนวน ๑๖๐ คน ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจะได้จัดให้นักศึกษาทั้งสองสถาบัน ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยลงพื้นที่พัฒนาโรงเรียนและชุมชนในถิ่นทุรกันดาร เขตพื้นที่อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๔ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านชาด โรงเรียนบ้านนาแก โรงเรียนบ้านคำผ่าน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านชาด แบ่งกิจกรรม ดังนี้

สร้างรั้วโรงเรียน และทาสีรั้ว
ปรับปรุงห้องน้ำ
ทาสีอาคารเรียน
ทาสีเครื่องเล่น
ทำสนามกีฬา เช่น โกล์ฟุตบอล ตะข่ายตระกร้อ
ปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในโรงเรียน เช่น ปลูกต้นไม้ จัดบอร์ด เปลี่ยนธงชาติ เป็นต้น
ทั้งนี้ คณะอาจารย์และนักศึกษาจาก Far East University, Korea จะเดินทางถึงมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และร่วมพิธีเปิดโครงการ ในวันจันทร์ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้อง ๕๒๐๑ อาคารเรียนรวม ๕ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยมี นายสุรพล สายพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และ รองศาสตราจารย์ ดร.นงนิตย์ ธีระวัฒนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บุคลากร และนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ร่วมต้อนรับโดยพร้อมกัน

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

ใบเหลือง อรัญญา นามวงศ์ ศาลฯ สั่งเลือกตั้ง นายกเทศมนตรี ต.นาส่วงใหม่


 นายสุรพล  สายพันธ์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.จว.) ประจำจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า กกต.จังหวัดอุบลราชธานี ได้เห็นชอบการประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)  กรณีครบวาระ รวม  6แห่ง ได้แก่ อบต.บอน อำเภอสำโรง อบต.ปะอาว  อำเภอเมืองอุบลราชธานี อบต.หนองแสงใหญ่ อ.โขงเจียม อบต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม อบต.บ้านแขม อ.พิบูลมังสาหาร และ อบต.ท่าหลวง อ.ตระการพืชผล  โดยกำหนดวันเลือกตั้งพร้อมกันในวันที่ 13 พฤษภาคม 2555 และกำหนดวันรับสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 8 – 12 เมษายน 2555
               “กกต.จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับทราบผลการวินิจฉัยการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลนาส่วง    อำเภอเดชอุดมซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่า ให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลนาส่วง ใหม่  แทน นางอรัญญา  นามวงศ์ นายกเทศมนตรี

เชิญเข้าอบรม พัฒนาความรู้มุ่งสู่ธรรมาภิบาลธุรกิจ และเสริมสร้างคุณภาพสำนักงานบัญชี


ว่าที่ร้อยโทสุธรรม ลครรำ หัวหน้าสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า สำนักพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดอุบลราชธานี ขอประชาสัมพันธ์จัดอบรมหลักสูตร “พัฒนาความรู้มุ่งสู่ธรรมาภิบาลธุรกิจ และเสริมสร้างคุณภาพสำนักงานบัญชี” เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี สำนักงานบัญชี และผู้ที่เกี่ยวข้อง มีความเข้าใจหน้าที่ตามกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และเพื่อยกระดับสำนักงานบัญชีให้มีมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด มองเห็นถึงความสำคัญของการรับรองคุณภาพสำนักงานบัญชี
               ดังนั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงได้ดำเนินการจัดโครงการอบรมครั้งที่ 2 ณ จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 24 – 26 เมษายน 2555 ณโรงแรมสุนีย์แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่น เซนเตอร์ จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ ผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชีสามารถนับชั่วโมงการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพ (CPD) รวม 12.30 ชั่วโมง เป็นด้านบัญชี 3 ชั่วโมง และด้านอื่นๆ 9.30 ชั่วโมง โดยมีค่าสมัครเข้าร่วมอบรม จำนวน 200 บาท (สองร้อยบาทถ้วน) ท่านสามารถสมัครเข้าร่วมอบรมโดยการกรอกใบสมัครและชำระค่าธรรมเนียม ณ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดอุบลราชธานี
               ทั้งนี้ ผู้สมัครเข้าร่วมอบรมสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมอบรมล่วงหน้าได้ที่ 045 – 246108 , 045 – 245269

สาวอุบลฯร้องพ่อถูกฆ่า บ.ประกันชื่อดังปฏิเสธจ่ายเงิน กลัวบ้านถูกยึด

    2 แม่ลูกเหยื่อปืนโหดอดีตทหารพรานที่ขัดแย้งก่อสร้างรีสอร์ตมูลค่าหลายร้อยล้าน ร้องบริษัทประกันชีวิตประกันวงเงินสินเชื่อเพื่อการสร้างบ้านปฏิเสธการจ่ายเงิน อ้างคนตายไม่ให้ข้อความเป็นที่จริงกรณีป่วยเป็นเบาหวาน จึงไม่จ่ายเงินสินไหมให้ ทั้งที่สาเหตุการเสียชีวิตถูกฆาตกรรม ไม่ใช่ป่วยตายตามธรรมชาติ
       
       เมื่อเวลา 13.00 น. 21 เม.ย. นางเจม และ น.ส.ภาวิณี ประดับจันทร์ ภรรยาและลูกของนายไสว ประดับจันทร์ อายุ 39 ปี พนักงานขับรถดับเพลิงเทศบาลตำบลห้วยขะยุง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งมากับนายประสาน คำแสงดี นายก อบต.บุ่งหวาย และถูกนายธนวัฒน์ รัตนเดชา อายุ 48 ปี หรือจ่าแดง อดีตทหารพรานใช้อาวุธปืนจ่อยิงเสียชีวิตทั้งคู่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ปีนี้ ได้เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดอุบลราชธานี
       
       กรณีถูกบริษัทอาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด ที่นายไสวผู้ตายซื้อประกันเงินกู้จากธนาคารอาคารสงเคราะห์มาสร้างบ้าน ปฏิเสธการจ่ายเงินสินไหมทดแทนเมื่อเสียชีวิต
       
       น.ส.ภาวิณี นำเอกสารมาแสดงพร้อมเล่าว่า เดิมบิดาของตนทำประกันชีวิตกลุ่มประกันวงเงินสินเชื่อเพื่อการสร้างบ้านครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ค.2549 กับบริษัทไทยคาร์ดีฟประกันชีวิต สัญญาสิ้นสุดเมื่อปี 2554 และธนาคารอาคารสงเคราะห์แจ้งว่า ต้องซื้อประกันใหม่กับบริษัทประกันชีวิตรายใหม่ (อาคเนย์ประกันชีวิตจำกัด) ที่เข้ามาเป็นคู่สัญญากับทางธนาคาร นายไสว จึงได้ซื้อประกันในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน พร้อมชำระเงินค่าประกันจำนวน 20,890 บาทให้เป็นที่เรียบร้อย
       
       กระทั่งเมื่อวันที่ 16 ม.ค.55 นายไสว ถูกยิงเสียชีวิต น.ส.ภาวิณี บุตรสาวได้ทำเรื่องขอรับเงินสินไหมทดแทนจำนวน 606,280 บาท จากบริษัทประกันที่ได้ทำไว้ แต่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยอ้างว่านายไสว ไม่ได้ให้ข้อความเป็นจริง กรณีที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน บริษัทจึงปฏิเสธการจ่ายเงินสินไหมทดแทนให้ดังกล่าว
       
       น.ส.ภาวิณี กล่าวว่า การทำประกันชีวิตของบิดาที่ซื้อประกันวงเงินสินเชื่อเพื่อการสร้างบ้านไม่ใช่เป็นการทำครั้งแรก แต่ได้ซื้อกับบริษัทที่เคยเป็นคู่สัญญากับธนาคารอาคารสงเคราะห์มาก่อนแล้ว รวมทั้งการเสียชีวิตของบิดาตน ก็ไม่ได้เสียชีวิตจากอาการเจ็บป่วย แต่เป็นการถูกฆาตกรรม ซึ่งมีรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวนยืนยันอย่างชัดเจน
       
       การปฏิเสธจ่ายเงินสินไหมครั้งนี้ จึงไม่เป็นธรรมและต้องการเรียกร้องให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่เป็นผู้รับประโยชน์ เจรจากับบริษัทประกันที่เป็นคู่สัญญากับธนาคารด้วย เพราะปัจจุบันแม้บริษัทประกันจ่ายเงินสินไหมให้กับธนาคารแล้ว ตนและแม่ก็ยังมีภาระที่ต้องจ่ายเงินผ่อนบ้านเป็นเงินอีกกว่า 5 หมื่นบาท ซึ่งเป็นภาระหนักของครอบครัว เพราะแม่ไม่มีงานทำ ส่วนตนเพิ่งสำเร็จการศึกษาปฏิญญาตรีในปีการศึกษานี้ ยังไม่มีงานทำเช่นกัน
       
       รวมทั้งบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันการซื้อรถรายอื่น ซึ่งบิดาได้ทำไว้ ก็ได้จ่ายเงินสินไหมทดแทนให้หมดแล้ว เหลือเพียงกรณีการซื้อประกันวงเงินเพื่อการสร้างบ้านเพียงรายเดียวที่ไม่ยอมจ่ายเงินให้ มีเพียงการสั่งจ่ายเช็คคืนเป็นค่าเบี้ยประกันที่เรียกเก็บไปมาให้เท่านั้น
       
       นอกจากนี้ ก่อนเข้ามาร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวก็ได้เข้าพบกับตัวแทนสภาทนายความของจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พร้อมทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับทางธนาคาร ซึ่งจะนำไปยื่นให้ในวันจันทร์ที่ 23 เม.ย.นี้ด้วย

ตร.เขมราฐยัน ระเบิดถนน บ.โคกสง่า แค่ความร้อนใต้ผิวดิน


 พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ หัดกล้า ผกก.สภ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งว่า เกิดเหตุถนนระเบิดกลางหมู่บ้านโคกสว่าง ต.หนองผือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่เวลา 15.00 น.ของวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา จึงได้สั่งการให้ ร.ต.ต.เกรียงศักดิ์ ส่องแสง รอง สวป.สภ.เขมราฐ ออกตรวจสอบที่เกิดเหตุ จากการตรวจสอบพบว่า ที่เกิดเหตุ เป็นถนนคอนกรีตที่กำลังก่อสร้างใหม่ อยู่กลางหมู่บ้าน แรงระเบิดทำให้ผิวถนนแตกร้าวเป็นบริเวณกว้างประมาณ 2 เมตร ลึกประมาณ 2 นิ้ว ไม่มีทรัพย์สินส่วนอื่นๆ เสียหายแต่อย่างไร และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด ทำให้เกิดการระเบิด

               พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ กล่าวว่า สาเหตุน่าจะมาจาก อากาศที่ร้อนอบอ้าวมากๆ ของวันที่ผ่านมา จึงทำให้แก๊สใต้ผิวดินทำปฏิกิริยากัน แล้วส่งผลให้เกิดการระเบิดขึ้น พร้อมได้เตือนให้ประชาชนไม่ต้องตกอกตกใจอะไรอีกต่อไป เพราะเป็นการระเบิดใต้ผิวดินขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มิได้เป็นการเกิด ขึ้นมาจากสิ่งอื่นใด จากนั้นก็จะได้รายงานให้ หน่วยงานทรัพยากรธรณีวิทยาได้รับทราบตามขั้นตอนต่อไป

สตง.การตรวจเงินแผ่นดิน จัดงาน เปิดบ้านรู้รักษ์เงินแผ่นดิน ในวาระครบ 96 ปี


   สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จัดงาน เปิดบ้านรู้รักษ์เงินแผ่นดิน ในวาระครบ 96 ปี เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน
              21 เม.ย.55 ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 5 จังหวัดอุบลราชธานี นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นประธานเปิดงาน เปิดบ้านสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รู้รักษ์เงินแผ่นดิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลาง มีหน้าที่ในการตรวจสอบการรับและใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินให้เกิดความเป็นธรรมและสุจริต สตง.ร่วมกับองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างความเข้าใจอันดี รวมถึงก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน จึงได้จัดกิจกรรม เปิดบ้านสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ภายใต้ชื่องาน รู้รักษ์เงินแผ่นดิน ซึ่ง เป็นกิจกรรมต่อเนื่องในวาระครบรอบ 96 ปี โดยจัดขึ้นใน 5 จังหวัดทั่วประเทศ คือ เชียงใหม่ พิษณุโลก สงขลา อุบลราชธานี และขอนแก่น มีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การจัดเวทีเสวนา การแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ สตง. การเล่นเกมตอบปัญหาชิงรางวัล
               สำหรับการจัดงาน เปิดบ้านรู้รักษ์เงินแผ่นดินครั้งนี้ ทำให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความสำคัญและอำนาจหน้าที่ของ สตง. การมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคประชาชนในการตรวจสอบเงินแผ่นดิน รวมทั้งประโยชน์ที่ทุกภาคส่วนจะได้รับจากการทำหน้าที่ของ สตง.

อุบลฯพร้อมเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันกีฬาโรงเรียนกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15

จังหวัดอุบลราชธานี เตรียมความพร้อมเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันกีฬาโรงเรียนกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15 “อุบลราชธานีเกมส์” ระหว่างวันที่ 16-25 มิถุนายน 2555 ขณะเดียวกันโรงเรียนกีฬาจาก ต่างประเทศในกลุ่มอาเซียนต่างพร้อมส่งนักกีฬาร่วมแข่งขันในครั้งนี้กว่า 4 ประเทศ

เมื่อเช้าวันนี้ (18 เม.ย.55) นายณรงค์ศักดิ์ คุรุพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า สถาบันการพลศึกษากระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ให้จังหวัดอุบลราชธานี และโรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานี ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชน เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโรงเรียนกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15 “อุบลราชธานีเกมส์” ระหว่างวันที่ 16-25 มิถุนายน 2555 โดยกำหนดแข่งขันเบื้องต้น 25 ชนิดกีฬา ซึ่งจะมีพิธีเปิด ในวันที่ 16 มิถุนายน 2555 ที่ สนามกีฬาโรงเรียนจังหวัดอุบลราชธานี เวลา 17.00น. สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจะทำการถ่ายทอดสดให้แฟนกีฬาทั่วประเทศได้ติดตามชมกัน สำหรับโรงเรียนกีฬาจากต่างประเทศที่จะเข้ามาร่วมทำการแข่งขันในครั้งนี้ ประกอบด้วย โรงเรียนกีฬาจากประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบูรไน สำหรับ กัมพูชา เวียดนาม และฮ่องกง ขณะนี้กำลังรอหนังสือตอบรับอย่างเป็นทางการ

จากนั้นผู้อำนวยการโรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้คณะกรมการทุกฝ่ายได้ดำเนินงานเพื่อเตรียมการจัดการแข่งขันในครั้งนี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะฝ่ายเทคนิคและฝ่ายประมวลผลการแข่งขัน ที่มีประสบการณ์ระดับชาติจากการแข่งขันกีฬาหลายรายการที่ผ่านมาซึ่งได้รับการชื่นชมจากสื่อมวลชนส่วนกลางและท้องถิ่นในการรายงานและประมวลผลการแข่งขันที่รวดเร็ว ถูกต้อง โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น ซึ่งในขณะนี้ในแต่ละฝ่ายก็ได้มีการดำเนินการเพื่อเตรียมรองรับการแข่งขันในครั้งให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สำหรับเรื่องที่พักนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ ประมาณ 1 หมื่นคน ภาครัฐและภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถรับรองเจ้าหน้าที่และนักกีฬา ในครั้งนี้ได้ ด้านการรักษาความปลอดภัย ตำรวจภูธรเมืองอุบลราชธานีก็ได้เตรียมแผนไว้คอยอำนวยความสะดวกให้กับคณะนักกีฬาทั้งในสถานที่พักและสนามแข่งขันเป็นอย่างดี

บทบาทของโรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ที่ควรจะเป็นในทศวรรษหน้า และความคืบหน้าของการขอขยายพื้นที่ของโรงพยาบาลฯระหว่าง มีนาคม-เมษายน 2555 โดย. นพ.มนัส กนกศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี

วิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี คือ "เราจะเป็นโรงพยาบาล ศูนย์ชั้นนำด้านวิชาการ บริการ และส่งเสริมสุขภาพอย่างมีคุณภาพ ที่เป็นเลิศในระดับสากล"

วิสัยทัศน์ของหน่วยงานภาครัฐโดยทั่วไปมักเป็นคำนิยมหรือสโลแกนที่ดูสวยงาม แต่ไม่ค่อยมีผลทางปฏิบัติ มักมีไว้โชว์ผู้ที่มาศึกษาดูงานเท่านั้น เรียกว่าเป็น "เสือกระดาษ" ก็ว่าได้ แต่ทางทีมบริหารโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พยายามจะทำให้เป็นเสือจริงให้ได้ โดยทางโรงพยาบาลฯได้พยายามทุกวิถีทางที่จะสื่อลงไปยังทุกองคาพยพของโรงพยาบาลฯและประชาชนผู้มารับบริการ ให้รับทราบความหมายเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ดังนี้

การเป็น "โรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำด้านวิชาการที่เป็นเลิศในระดับสากล" หมายถึง "โรงพยาบาลศูนย์ต้องมีบทบาทเปรียบได้ดั่งต้นไทรที่หยั่งรากลึกเป็นไม้ยืนต้น ที่สูงใหญ่มั่นคงและยั่งยืน เป็นที่พึ่งพาอาศัยของหมู่นกกา มิใช่เป็นเพียงต้นหญ้าในสนามฟุตบอลเท่านั้น"

ต้นหญ้าในสนามฟุตบอลไม่แตกต่างจากต้นหญ้าในสนามตะกร้อเลยต่างเพียงแต่ขนาดของสนามเท่านั้นเปรียบได้กับโรงพยาบาลศูนย์ที่มีเพียงชื่อเป็นโรงพยาบาลศูนย์ ที่ขีดความสามารถไม่ต่างจากโรงพยาบาลทั่วไปเลย ต่างกันแค่จำนวนผู้ป่วยและจำนวนเตียงรับผู้ป่วยที่มีมากกว่าเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ทราบว่าจะมีโรงพยาบาลศูนย์ไปทำไมในเมื่อมีโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชนเยอะ ๆ จะไม่ดีกว่าหรือ เพราะต้นทุนดำเนินการค่ายาค่า ใช้จ่ายต่ำกว่าแถมใกล้บ้านใกล้ใจประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายกว่าด้วย

แต่ ถ้าดูจากนิยามของวิสัยทัศน์ของเราเป็นที่มาของความสำเร็จหลาย ๆ ประการที่ไม่ เคยมีในโรงพยาบาลศูนย์แห่งอื่นในประเทศไทยเป็นต้นว่าการเป็นโรงพยาบาลศูนย์แห่งแรก ที่ทำการปลูกถ่ายไตจากผู้บริจาคอวัยวะที่มีภาวะสมองตาย เป็นโรงพยาบาลศูนย์แห่งแรกที่เปิดห้องปลอดเชื้อความดันบวกเตรียมปลูกถ่ายไข กระดูกเป็นต้น ในทศวรรษหน้านี้เราไม่มีนโยบายในการเพิ่มจำนวนเตียง แต่มีนโยบายที่จะพัฒนาขีดความสามารถของโรงพยาบาลที่ส่งผู้ป่วยที่ไม่ควรจะ เป็นภาระหน้าที่ของโรงพยาบาลศูนย์มาให้เรารักษาให้ค่อย ๆ พัฒนาความแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า ถ้าเราทำได้จำนวนเตียงของเราที่รักษาโรคง่าย ๆ จะค่อย ๆ ลดลง จำนวนโรคง่าย ๆ ที่เคยรับรักษาเป็นผู้ป่วยในของเราในอดีตจะค่อย ๆ ลดลงเราจะ สามารถรับรักษาโรคที่รักษายากและซับซ้อนได้มากขึ้น

สิ่งที่จะได้จากการขยายพื้นที่บริการของเราที่แท้จริงก็คือ สภาพแวดล้อมของผู้ป่วยและญาติในเขตอีสานใต้ทั้งหมด 4.5 ล้านชีวิต ที่มาฝากชีวิตไว้ที่นี่ สภาพแวดล้อมของผู้ปฏิบัติงาน 3,500 คน ต้องปลอดภัย สะอาด สะดวก ทั้งที่รักษาแล้วหายและเสียชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และความเป็นคนไทยเฉกเช่นคนในเมืองหลวง ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงบริการได้ง่าย ถ้าเป็นไปได้จะปิดบริการผู้ป่วยนอกทั่วไป รับเฉพาะผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยในที่ต้องการการรักษาและความเชี่ยวชาญระดับสูงที่รับส่งต่อจากทั้งโรงพยาบาลทั่วไปหรือโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ที่ได้รับการพัฒนาแล้วทั้งใน เขตเทศบาลอำเภอเมือง นอกเขตเทศบาลอำเภอเมือง อำเภออื่น ๆ ในจ.อุบลฯ และจ.ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ มุกดาหาร คุณภาพและขีดความสามารถในการบริการไม่แตกต่างจากโรงพยาบาลในโรงเรียนแพทย์ในเมืองหลวง ภาพในฝันก็คือหากมีโรงพยาบาลสองแห่งตั้งอยู่เคียงข้างกันระหว่างโรงพยาบาล แบบเดียวกับโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ในเมืองหลวงกับโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ในอีก 10 ปีข้างหน้า ชาวอุบลฯจะเลือกรับบริการที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะฝันมากไปหรือเปล่า อย่างน้อยก็ไม่แออัด รถไม่ติดหน้าห้องฉุกเฉินจนอาจเสียชีวิตกลางถนนก่อนเข้าโรงพยาบาลฯ ไม่เสี่ยงต่ออัคคีภัยรถดับเพลิงเข้าไม่ได้เหมือนปัจจุบันแต่ที่เหนือกว่าโรงพยาบาลใน โรงเรียนแพทย์อื่น ๆ ก็คือสำหรับผู้ป่วยกลุ่มเป้าหมายแล้วจะยังคงไม่มีคำว่า “เตียงเต็ม” อยู่เช่นเดิม มีที่จอดรถสำหรับผู้ป่วย ญาติและเจ้าหน้าที่เพียงพอ มีบ้านพักเจ้าหน้าที่ที่จะต้องขึ้นเวรบ่ายดึกเพราะจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดยามวิกาลอย่างเพียงพอ มีห้องพิเศษอย่างเพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพบริการที่คล่องตัวมีระบบบริหาร ที่มีประสิทธิภาพสามารถอยู่รอดทางการเงินได้สามารถสร้างความพอใจให้กับผู้รับบริการทุกระดับบุคลากรทางการแพทย์ขวัญกำลังใจดีมีชีวิตที่มั่นคงมีความสุขทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ

ขอรายงานความคืบหน้าการขอขยายพื้นที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ไปยังพื้นที่ข้างเคียงให้ชาวอุบลราชธานีได้รับทราบว่าเรามีการเกาะติดอยู่ตลอดเวลาใน เรื่องนี้

ปลายเดือนมีนาคม 2555 ทางโรงพยาบาลฯ ได้ทำหนังสือผ่านทางท่านผวจ.สุรพล สายพันธ์ เป็นผู้ลงนามไปยัง กรมพัฒนาชุมชนเพื่อขอคืนพื้นที่ 22 ไร่ตรงข้ามช่อง11 อุบลฯ เพื่อใช้ในการขยายพื้นที่ในการให้บริการของโรงพยาบาลฯ 

10 เมษายน 2555 กรมพัฒนาชุมชนได้มีการประชุมที่กรมฯ และผลสรุปว่ายินดีคืนพื้นที่ 22 ไร่ หน้ากว้างประมาณ 300 เมตร ตรงกันข้ามกับช่อง 11 อุบลฯให้กับธนารักษ์เพื่อให้โรงพยาบาลฯทำเรื่องแนบไปขอธนารักษ์ประกอบการขยายพื้นที่ของโรงพยาบาลฯ

15 เมษายน 2555 ท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานีได้นัดพบท่านชิดชัย เพื่อหารือเรื่องสืบเนื่องจากการขอขยายพื้นที่ของโรงพยาบาลฯ โดยท่านผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานีได้ร่วมรับฟังอยู่ด้วย และทีมบริหารของโรงพยาบาลฯได้ขอพรจากท่านและรดน้ำสงกรานต์ท่านด้วย

17 เมษายน 2555 ทีมบริหารของโรงพยาบาลฯได้ขอเข้าพบเพื่อรดน้ำขอพรจากท่านเกรียง กัลป์ตินันท์ และขอคำแนะนำจากท่านในหลาย ๆ เรื่องนำมาปรับใช้ท่านรับว่าจะให้การสนับสนุนเรา

18 เมษายน 2555 ทางโรงพยาบาลฯ โดยผอ.ได้เข้าพบท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขท่านนพ.ไพจิตร์ วราชิต เพื่อเข้ารดน้ำดำหัวและขอพรจากท่าน และได้รายงานความคืบหน้าในการขยายพื้นที่โรงพยาบาลฯให้ท่านรับทราบและขอหารือเรื่องการโอนเงินบำรุงจำนวน 120 ล้านบาทของโรงพยาบาลฯให้กับหน่วยราชการสังกัดกรมพัฒนาชุมชนในจังหวัดอุบลฯ นำไปสานต่อโครงการอุทยานการเรียนรู้ฯลฯ ตามเงื่อนไขพิเศษที่ทางโรงพยาบาลฯเสนอและตอนสาย ๆ ได้เข้ารดน้ำดำหัวและขอพร ท่านอธิบดีกรมพัฒนาชุมชนและขอบพระคุณท่านในนามชาวอีสานใต้ที่สนับสนุนทางโรงพยาบาลฯ ในเรื่องที่ 22 ไร่ตรงข้ามช่อง11อุบลฯ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะได้รับประโยชน์และพึงพอใจโดยถ้วนหน้า โดยประโยชน์สูงสุดตกแก่ประชาชนชาวอุบลฯและชาวอีสานใต้ในที่สุด
[/IMG]
[IMG]

"ท็อป-นุ่น” จูงมือเข้าวัดปฏิบัติธรรม ปัดเรื่องแต่ง!

]

เจอตัวหนุ่ม “ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร” ในงานแถลงข่าวโครงการ ‘เยาวชนไทยเรียนรู้แหล่งอีสาน’ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ที่เจ้าตัวเป็นเซเลบนำทีมเยาวชนไปเรียนรู้ประเพณีแห่เทียนพรรษากับทริป ‘จากต้นสายสู่ปลายเทียน’ จ.อุบลราชธานี งานนี้ “หนุ่มท็อป” หอบข้อมูลเรื่องรักกับสาว “นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา” มาอัพเดทให้ฟัง “คบกันมา 4 ปี ก็ดีนะครับ ยังไม่ได้มีปัญหาอะไร เรื่องแต่งงานยังไม่กล้าคิดเลยครับ ตัวผมเองยังไม่พร้อม ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสามีหรือว่าจะเป็นคุณพ่อที่ดีได้ ยังไม่เคยคุยเรื่องนี้กับนุ่นเลย ทางผู้ใหญ่ก็ยังไม่เคยถามด้วยครับ การมีครอบครัวต้องเป็นผู้นำ ตอนนี้เราก็รอความพร้อมตรงนี้ด้วย ผมยังมีความสุขกับชีวิตแบบนี้อยู่ครับ ก็มีทะเลาะกันบ้าง เป็นธรรมดาเพราะมาจากต่างครอบครัว มันก็ต้องมีความคิดที่แตกต่างกันบ้าง” ปัดเรื่องแต่งแต่พอถามถึงแพลนจู๋จี๋พาสาวนุ่นไปสวีตเติมหวานที่ไหนเจ้าตัวเผย “สงกรานต์ผมกับนุ่นไปอิตาลี ส่วนวันที่ 1-4 สิงหาคมนี้ ผมมีทริปไปดูการแห่เทียนเข้าพรรษา ‘จากต้นสายสู่ปลายเทียน’ ที่อุบลฯ กับ ททท. กะว่าจะชวนนุ่นไปด้วย ปกตินุ่นเค้าชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ช่วงนี้นุ่นก็เข้าวัด ถือศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ อยู่บ่อยๆ ถ้าว่างก็จะชวนนุ่นไปด้วยกัน” ใครอยากเที่ยวกับ “ท็อป-พิพัฒน์” สอบถามเพิ่มเติมโทร 02-726-9996 หรือ www.เที่ยวอีสาน.com

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

บัตรสุดคุ้มคนรักหนัง



ระยะเวลาการขายบัตร
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2555
**ด้านหลังบัตรระบุเงื่อนไข / Running Number / หมดอายุ 30 พฤศจิกายน 2555

ทุนค้ารถหรูปักธงเปิดสาขาเชียงราย-เล็งตลาดพม่า ลาว จีนตอนใต้

เชียงราย - กลุ่มทุนนำเข้ารถหรูจากยุโรปดีเดย์เปิดโชว์รูมเชียงรายต้นเดือนหน้า เดินหน้าทำตลาดพม่า ลาว จีนตอนใต้ รับเออีซี.-เมียนมาร์เปิดประเทศ เชื่อมมั่นตลาดโตอีกมาก พร้อมเตรียมเปิดโชว์รูมในประเทศเพิ่มทุกภาคภายใน 3 ปี

นายประชา รุ่งเพ็ชรวิภาวดี ประธานกรรมการบริษัทฯ นำคณะผู้บริหารฝ่ายต่างๆ กลุ่มบริษัทในเครือซีเอ็นวายกรุ๊ป แถลงข่าวการเปิดโชว์รูมซีเอ็นวายกรุ๊ป ที่สำนักงานเลขที่ 730/1 สี่แยกแม่กรณ์ ถนนพหลโยธิน ต.เวียง อ.เมืองจ.เชียงรายว่า บริษัทซึ่งนำเข้ารถหรูจากยุโรป จะเปิดโชว์รูมเชียงราย อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 พ.ค.55 นี้ภายใต้ชื่องาน "Grand Opening New Showroom And Service Center In Chiangrai Thailand 555"

ภายในงานจะมีการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของโชว์รูปรถนำเข้าจากทั่วโลก การเปิดตัวรถพิเศษจำนวน 5 คัน และการรวมตัวครั้งสำคัญของรถชั้นนำจากทั่วโลกมากกว่า 30 คัน รวมทั้งการแสดงพิเศษจากศิลปินชั้นนำ

นายประชา กล่าวว่า เครือซีเอ็นวาย มีประสบการณ์ด้านการจำหน่ายรถยนต์ยุโรปมานานกว่า 16 ปีแล้ว ปัจจุบันมีบริษัทในเครือหลายแห่ง เช่น หจก.ชนะยนต์อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จำกัด , บริษัทซีเอ็นวาย อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จำกัด ,บริษัทซีเอ็นวายออโต้อิมพอร์ต จำกัด ,บริษัทหมิงทรานสปอร์ต จำกัด (หมิงเทเลอร์) และบริษัทหมิงทรานสปอร์ต จำกัด (หมิงออนทัวร์)

นายประชา บอกว่า หลังจากได้มีการเปิดตัวการนำเข้าและส่งออกรถยนต์ยุโรปมาได้แล้ว 1 ปีในปัจจุบันได้มีการตั้งโชว์รูมอยู่ที่เชียงราย และที่ย่านอ่อนนุช กรุงเทพฯ แล้ว ซึ่งผลประกอบการถือว่าก้าวหน้าไปได้ดีอย่างมาก โดยเฉพาะการนำรถตระกูลชื่อดัง เช่น เมอร์เซเดสเบนซ์ บีเอ็มดับบริว เลคซัส ฯลฯ ไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมาร์ สปป.ลาว จีนตอนใต้ ฯลฯ
“โดยเฉพาะเมียนมาร์ ถือว่า รถยุโรปกว่า 90% มาจากทางซีเอ็นวายแทบทั้งสิ้น”

ล่าสุดบริษัทได้ไปเปิดบริษัทในเครือคือบริษัทเมียนมาร์ซีเอ็นวาย จำกัด ที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ด้วย เนื่องจากเมียนมาร์มีการเปิดประเทศมากขึ้น โดยนำเข้ารถยนต์ไปแล้วกว่า 4,000-5,000 คัน และในอนาคตเมื่อมีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีเต็มตัว ก็จะทำให้บริษัทได้เปรียบด้านธุรกิจในนำรถยนต์ชั้นนำมาจำหน่ายกลุ่มอาเซียนต่อไปด้วย

นายประชา กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มต้นเปิดโชว์รูปอย่างยิ่งใหญ่ที่ จ.เชียงราย ก่อนจากนั้นจะค่อยๆเปิดเพิ่มเติมจุดอื่น ๆ ทั่วประเทศอีก คือ โชว์รูม ในกรุงเทพฯ อีก 2-3 แห่ง โดยอยู่ระหว่างตกลงเรื่องที่ดิน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.อุบลราชธานี และขอนแก่น และภาคใต้ที่ จ.ภูเก็ต และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยโชว์รูมที่เหลือทั้งหมดจะพร้อมให้บริการภายใน 3 ปีนี้ โดยจะนำรถยนต์ชั้นนำมาจำหน่ายและเปิดเป็นศูนย์บริการลูกค้า 24 ชั่วโมงด้วย
ด้านนางสลินดา ชมพูศรี รองประธานกรรมการเครือซีเอ็นวาย กล่าวว่า ความจริงบริษัทนำเข้ารถยนต์ชั้นนำเข้าไปในเมียนมาร์นานแล้ว โดยนำเข้าไปทางเรือแม่น้ำโขงจากท่าเรือ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปยังท่าเรือเมืองสบหรวย ประเทศเมียนมาร์ และสามารถกระจายเข้าไปยังพื้นที่ชั้นในของเมียนมาร์ และจีนตอนใต้ได้ รวมทั้งส่งออกไปทางด่าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ด่านแม่สอด จ.ตาก ฯลฯ แต่ล่าสุดทางการเมียนมาร์ได้พัฒนาการนำเข้าและส่งออกโดยปิดจุดนำเข้ารถยนต์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด แต่เปิดให้มีการนำเข้าที่ท่าเรือทางทะเลแทน ซึ่งบริษัทก็ได้ใบอนุญาตจากรัฐบาลเมียนมาร์ในการนำเข้าที่ท่าเรือเมืองย่างกุ้งโดยตรงแล้ว
นางสลินดา กล่าวอีกว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาถือว่าตลาดเมียนมาร์ดีมาก โดยมียอดนำเข้าในเดือนละกว่า 2,000-3,000 คัน นอกจากนี้ยังมีการนำรถยนต์มือสองเข้าไปจำหน่ายเฉพาะปี 2554 ที่ผ่านมา แล้วกว่า 5,000 คันแล้ว

โครงการรถไฟความเร็วสูง


ชี้แจงการจัดเก็บขยะของเทศบาลนครอุบลราชธานี


นางรจนา กัลป์ตินันท์  นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี เปิดเผยว่า  เทศบาลนครอุบลราชธานีเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการจัดเก็บขยะมูลฝอยในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี  ซึ่งที่ผ่านมาเทศบาลฯ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชน เรื่อง ขยะตกค้าง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่จัดเก็บหรือจัดเก็บแต่่เก็บขนไม่หมด โดยหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ไม่จัดเก็บกิ่งไม้  วัสดุที่ชำรุด เช่น ตู้  เตียง หรือที่นอน ฯลฯ
ในกรณีดังกล่าว  นายกฯ รจนา  กัลป์ตินันท์  ได้เปิดเผยว่า  การจัดเก็บขยะมูลฝอยของเทศบาล  ได้แยกการจัดเก็บออกเป็นสองประเภท  คือ  ขยะมูลฝอย  กับขยะที่เป็นวัสดุกิ่งไม้หรือวัสดุชิ้นใหญ่ที่ชำรุด เช่น ตู้ เตียง ที่นอน ฯลฯ และได้แยกรถที่ทำการจัดเก็บเป็นประเภทละคัน  ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเก็บขนและทำลาย  ดังนั้น  ที่ผ่านมา  เทศบาลนครอุบลฯ จึงมักได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่า  เก็บขยะไม่หมด  หรือไม่จัดเก็บขยะ  เป็นต้น
เพื่อความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการจัดเก็บขยะของเทศบาลฯ  เทศบาลฯ จึงขอชี้แจงเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจระบบการทำงานของเทศบาล  และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่ต้องการให้เทศบาลฯ จัดเก็บขยะประเภทวัสดุที่เป็นกิ่งไม้  ตู้  เตียง ที่นอน ฯลฯ  สามารถยื่นคำร้องให้เทศบาลฯ ดำเนินการจัดเก็บได้ที่หมายเลข 045-246-060-3 ต่อ 193  หรือ 190  (ฝ่ายบริการสิ่งแวดล้อม  กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลนครอุบลราชธานี)

เทศบาลนครอุบลราชธานี นำร่องทำถนนปลอดถังขยะ


นางรจนา  กัลป์ตินันท์  เปิดเผยว่า  เทศบาลนครอุบลราชธานีมีภารกิจบริการประชาชนสำคัญเรื่องหนึ่งคือ  การดูแลรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเขตเทศบาล  ซึ่งรวมถึงการจัดเก็บขยะและการบริการถังเก็บขยะมูลฝอยในเขตเทศบาลด้วย   แต่่่อย่างไรก็ตาม  เทศบาลฯ ตระหนักดีว่า การจัดการขยะมูลฝอยในเขตเทศบาล  แม้เทศบาลจะสามารถจัดการได้เป็นส่วนใหญ่  แต่ขยะมูลฝอยก็เริ่มมีปริมาณมากขึ้น  ผลที่ตามมาคือ  เทศบาลฯ ต้องนำภาษีที่เก็บจากประชาชนไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บขยะที่เพิ่มขึ้น  ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว  ประชาชนสามารถลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะของเทศบาลที่มีมูลค่ามากกว่า 30 ล้านบาทต่อปีได้  ด้วยวิธีง่ายๆ คือ การคัดแยกขยะก่อนทิ้ง  ขยะบางอย่างมีมูลค่ามีราคา  ถ้าประชาชนสามารถแยกขยะดังกล่าว  และนำไปขายก็จะทำให้มีรายได้เสริมให้กับครอบครัว  ส่วนขยะอีกประเภทหนึ่งที่ทำให้เทศบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะมากประเภทหนึ่ง คือ  ขยะเปียก หรือ ขยะอินทรีย์  ปัญหาของขยะเหล่านี้คือ  เป็นขยะที่มีน้ำผสมอยู่  เมื่อต้องนำไปทิ้ง  เทศบาลต้องจ่ายค่าจัดการขยะตามน้ำหนักของขยะ  ดังนั้น  ถ้าประชาชนสามารถคัดแยกขยะเปียก ขยะแห้งได้ก่อนทิ้ง  ก็จะสามารถลดปริมาณขยะ  ลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะ  และเทศบาลฯ จะได้มีเงินเหลือไว้ใช้ในการพัฒนาด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนต่อไป
นางรจนา  กัลป์ตินันท์  นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี  ยังเปิดเผยต่อไปอีกว่า  จากปัญหาดังกล่าว  เทศบาลฯ ได้มีแนวคิดในการลดปริมาณขยะควบคู่กับการจัดเก็บขยะ คือ  การจัดทำถนนสวยปลอดถังขยะขึ้น  โดยนำร่องด้วยถนน 3 สาย 3 ระยะ  คือ
  • ระยะที่ 1  เริ่มจากถนนอุปราช บริเวณเชิงสะพานเสรีประชาธิปไตย ถึง บริเวณสี่แยกถนนอุปราช ตัดกับถนนพิชิตรังสรรค์
  • ระยะที่ 2  ย่านพาณิชย์  เช่น  ถนนพรหมเทพ  ถนนพรหมราช ถนนเขื่อนธานี  และถนนยุทธภัณฑ์ เป็นต้น
  • ระยะที่ 3  เริ่มจากถนนอุปราช ช่วงบริเวณสี่แยกตัดกับถนนสรรพสิทธิ์ ถึง ถนนชยางกูร จากช่วงบริเวณสี่แยกถนนชยางกูรตัดกับถนนอุปลีสาน
ซึ่งจากการประเมินการนำร่องของถนนที่ดำเนินการทั้งสามระยะ  อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ  เทศบาลฯ โดยการนำของนายกฯ รจนา  กัลป์ตินันท์  จึงได้มอบนโยบายให้กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ  เพิ่มพื้นที่ถนนสวยปลอดถังขยะ โดยเริ่มจากช่วงสามแยกเกียรติสุรนนท์ไปตามถนนชยางกูรทั้งสองฝั่งถึงสี่แยกบายพาสสวนวนารมย์  ทั้งนี้  เพื่อให้เป็นถนนที่สวยและปลอดถังขยะและให้เป็นตัวอย่างกับถนนเส้นอืนๆ ต่อไป  ดังนั้น  เทศบาลฯ จึงขอความร่วมมือกับประชาชนที่อยู่ตามเส้นถนนนำร่องข้างต้น  ได้โปรดให้ความร่วมมือในการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง  เพื่อลดปริมาณชยะที่จะจัดเก็บ  ลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะที่เป็นเงินภาษีของประชาชน

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

❁ พิธีเปิดถนนดอกไม้และสายน้ำ ❁





................เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2555 นายสุรพล สายพันธ์ ผู้ว่าราชการการจังหวัดอุบลราชธานีได้เป็นประธานในพิธีเปิดถนนดอกไม้และสายน้ำ โดยก่อนการเปิดงาน นางรจนา กัลป์ตินันท์ นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานีเป็นผู้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดทำถนนดอกไม้่และสายน้ำ ทั้งนี้ ในการเปิดงานดังกล่าวได้มีคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาลนครอุบลราชธานี ตัวแทนส่วนราชการภายในจังหวัดอุบลราชธานี พนักงานเทศบาล กลุ่มพลังมวลชนและประชาชนได้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

การจัดกิจกรรมถนนดอกไม้และสายน้ำ เทศบาลนครอุบลราชธานีได้ดำเนินการจัดงานครั้งนี้ เป็นครั้งที่ ๖ ซึ่งในแต่ละปีได้มีการพัฒนารูปแบบการจัดงานอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ซึ่งในความสนุกสนานของถนนดอกไม้และสายน้ำ ได้แอบแฝงไว้ซึ่งผลสัมฤทธิ์ที่ปรากฏชัดเจนในปีที่ผ่านมา ดังต่อไปนี้

๑. เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงของจังหวัดอุบลราชธานี ในการจัดกิจกรรมถนนดอกไม้และสายน้ำ ติดอันดับ ๕ ของประเทศไทย

๒. เป็นการลดปัญญาอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี

๓. เป็นการลดปัญหาจราจร

๔. เป็นการลดปัญหาการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งในถนนดอกและสายน้ำ เทศบาลนครอุบลราชธานี ได้รณรงค์ห้ามจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด

๕. เป็นการส่งเสริมการจำหน่ายอาหาร เทศกาลอาหารไทย – อินโดจีนซึ่งดำเนินมาปีนี้ เป็นครั้งที่ ๑๕

๖. เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองที่จะสูญเสียในงานประเพณีสงกรานต์

๗. เป็นการร่วมอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามของไทย ให้คงอยู่สืบไป
กิจกรรมถนนดอกไม้และสายน้ำ ถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญในงานประเพณีสงกรานต์ เหมือนกิจกรรมอื่นๆ เช่น งานเทศกาลอาหารไทยอินโดจีน ขบวนแห่พระแก้วบุษราคัม ขบวนแห่สงกรานต์ พิธีรดน้ำขอพรผู้สูงอายุ พิธีทำบุญตักบาตร ดังนั้นเทศบาลนครอุบลราชธานี จึงได้พยายามสร้างสรรค์ ส่งเสริม และอนุรักษ์ไว้ ซึ่งคุณค่าของความเป็นวัฒนธรรมไทย และอีกด้านหนึ่งเทศบาลนครอุบลราชธานีได้ตระหนักถึงการก่อการทะเลาะวิวาท ซึ่งมีเป็นประจำทุกปี ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลตลอดเป็นประจำทุกวันๆ ละ ๔๐ นายต่อวัน

การจัดงานปีนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากการประปาส่วนภูมิภาค, (AIS) หรือบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัทดูโฮม, ไกด์อุบล, ค่ายทหารสรรพสิทธิประสงค์, กองบิน ๒๑, สถานีตำรวจภูธร, เหยี่ยวตำรวจ และประชาชนทุกคนที่ให้การสนับสนุน























สัมภาษณ์พิเศษ น.ส.ยุพา ปานรอด ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานอุบลราชธานี


เป็นผู้หญิงเก่งอีกคนของททท. “น.ส.ยุพา ปานรอด” ยามนี้เธอรับผิดชอบสำนักงานที่อุบลราชธานี ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่มีความสำคัญ มาฟังกันว่าสภาพการณ์ท่องเที่ยวในพื้นที่นี้เป็นอย่างไรบ้าง


เน้นนักท่องเที่ยวอีสาน
ในส่วนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุบลราชธานี รับผิดชอบทั้งที่จ.อำนาจเจริญ และยโสธรด้วย รวม 3จังหวัด ในปลายปีนี้ ช่วงปลายฝนต้นหนาว กรุงเทพฯและภาคกลางได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนนั้นลดน้อยลง เราเลยต้องมองนักท่องเที่ยวภูมิภาคเดียวกัน คือ ภาคอีสาน เช่น จากอุดรธานี โคราช และขอนแก่น และเรายังมองไปยังนักท่องเที่ยวอีก 2 ภูมิภาค คือจากเชียงใหม่และภูเก็ต รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นลำพูนและลำปาง อีกส่วนหนึ่งจากภูเก็ต ตรัง และกระบี่ เพื่อมาเที่ยวที่อุบลฯ

จุดเด่นของยโสธร
ยโสธร เป็นเมืองท่องเที่ยววัฒนธรรม งานประเพณีที่โด่งดัง คือ เทศกาลบุญบั้งไฟ จัดขึ้นสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมของทุกปี นักท่องเที่ยวแน่นมาก และที่พักก็หายากนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเทศกาลทำบุญใหญ่คือร้อยข้าวตอกดอกไม้ 

ถ้าใครอยากมาท่องเที่ยววัฒนธรรมก็ให้มา 2 จังหวัดที่ยโสธรและอำนาจเจริญเป็นหลัก แต่ก็มาเชื่อมที่อุบลฯได้ เพราะไม่ไกลกัน จากยโสธรมาอุบลฯก็ประมาณร้อยกว่ากิโลใช้เวลาชั่วโมงนิด ๆ ถนนดีมาก และจากอำนาจเจริญตก 70 – 80 กิโลถนนก็ดีมากเช่นกัน

ที่ยโสธรแหล่งท่องเที่ยวอาจจะน้อยลงแต่ก็มีงานท่องเที่ยวสินค้าพื้นบ้าน เช่น หมอนขิด เครื่องจักสาน หรือการท่องเที่ยวบริเวณเมือง คือที่นี้จะมีการอนุรักษ์บ้านเก่า หมู่บ้านศีลห้าอยู่ในตัวเมืองเลย ทางเทศบาลได้จัดรถพาท่องเที่ยว มีรถรางนำเที่ยว มีการก่อสร้างศิลปะชิโนโปรตุกิสเชียด ๆ ภูเก็ต เป็นการท่องเที่ยวเมืองเก่า เล่าเรื่องเมืองเก่า ชิมลอดช่องยโสธร ปลาส้มยโสธร

ของดีอำนาจเจริญ

สำหรับจ.อำนาจเจริญ ซึ่งเป็นเมืองผ่านมาจากมุกดาหารแล้วก็มาอุบลฯ อันเป็นเมืองที่รองรับคนเยอะมาก โดยเฉพาะมาขึ้นเครื่องบินที่อุบลฯ คนมาจากมุกดาหารจะมาแวะทานข้าวที่อำนาจเจริญหนึ่งมื้อแล้วก็ซื้อของ หรือคิดว่าเดินทางมาไกลก็จะแวะนอนที่อำนาจเจริญ เมืองนี้ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายแต่มีแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนา คือมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ แวะไหว้พระองค์นี้สวยงามมาก แวะทานข้าวแล้วซื้อของแล้วก็ไปจ.อุบลราชธานี


ว่าไปแล้วอำนาจเจริญเด่นเรื่องการเกษตร คือข้าวหอมมะลิ วัฒนธรรม งานโอท็อป ที่นี่เราจะขายในเรื่องที่เขาเด่น เช่นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ทั้ง3 จังหวัดก็จะเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เป็นการดึงดูดซึ่งกัน 2 จังหวัดไม่มีแหล่งท่องเที่ยวก็จะดึงดูดด้วยงานวัฒนธรรมและประเพณี

อำนาจเจริญนั้นเป็นเมืองผ่านเขาจะทำสินค้าของที่ระลึก สินค้าเรื่องอาหาร แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่นี่ผู้ประกอบการสามารถมาลงทุนเรื่องร้านอาหาร หรือร้านขายของที่ระลึกได้

ข้ามไป3ประเทศเพื่อนบ้าน
อุบลฯมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และแหล่งเชื่อมโยง คนที่มาอุบลฯก็มักจะข้ามไปที่ปากเซ ไปจำปาสัก ประเทศลาว ที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายและวัฒนธรรมค่อนข้างเยอะ ตลาดของอุบลฯเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี 

ทั้งอุบลฯและแขวงจำปาสักมีความร่วมมือในด้านสินค้าเกษตร การเปิดพรมแดนส่งนักท่องเที่ยวระหว่างกันก็ได้มีการพูดคุยกันเรื่องกฎระเบียบในการส่งนักท่องเที่ยว

อุบลฯเป็นเมืองเด่นเพราะมีศักยภาพหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินมีถึง 7 เที่ยวบิน หรืออีก 2 เที่ยวบินระหว่างภูมิภาค รถไฟ รถยนต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเชื่อมสุดท้าย ทุกอย่างจะมาลงที่อุบลฯ แล้วนักท่องเที่ยวจะไปลงที่ประเทศอื่นไม่ว่าจะเป็นลาว กัมพูชา เวียดนามก็มักจะมาเริ่มต้นที่นี่ ไปกัมพูชาจะไปทางอ.น้ำยืน ใกล้กับช่องสะงำของจ.สุรินทร์ ซึ่งสุรินทร์กับอุบลฯก็ใกล้ๆกัน จากช่องสะงำก็ผ่านไปกัมพูชา ไปเสียมเรียบได้

ขะแมร์รูทเส้นทางยอดนิยม
สำหรับที่อุบลฯนั้นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศก็มีบ้างเป็นพวกแบ็คแพค เป็นนักท่องเที่ยวอิสระมากันเอง ปัจจุบันก็มีมากทั้ง จากยุโรป จากอังกฤษ แต่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาอุบลฯเยอะมาก ส่วนใหญ่มาจากเขตอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี สามารถเดินทางมาจากเส้นอรัญประเทศวิ่งตัดมาทางนี้ได้เลย ไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯ 

ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นหรือยุโรปส่วนใหญ่ส่วนใหญ่จะมาข้ามที่ฝั่งนี้แล้วไปปากเซไปเวียดนามแล้วบินกลับ หรือมาจากเวียดนาม ปากเซ แล้วมาขึ้นเครื่องที่อุบลฯกลับ แต่ส่วนใหญ่จะมาอุบลฯแล้วไปปากเซ ไปเวียดนามแล้วขึ้นเครื่องกลับ

นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่สนใจเส้นทางขะแมร์รูท เริ่มตั้งแต่ปราสาทหินพิมาย ปราสาทเขาพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทศรีขรภูมิ ปราสาทพระวิหาร แล้วก็ไปปราสาทบ้านเพ็ญ แล้วเข้าเสียมเรียบ บางครั้งก็เข้าทางปราสาทบ้านภู คนไทยไม่ค่อยเที่ยวอย่างนี้ อย่างฝรั่งเขาจะเที่ยวขะแมร์รูทแล้วก็มาเที่ยวบรรยากาศของอีสาน

รุกประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว
สถานการณ์ท่องเที่ยวของอุบลฯไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นโลว์ซีซันก็จะมีการรับนักท่องเที่ยวกลุ่มอบรมสัมมนาเป็นส่วนใหญ่ ที่นี่มีสถาบันการศึกษา สมัยก่อนจะมีโลว์ซีซัน แต่ปัจจุบันเป็นจังหวัดที่เรารับนักท่องเที่ยวกลุ่มอบรมสัมมนา จะมีครูอาจารย์ที่นั่งเครื่องมาแล้วมาพักนอนที่อุบลฯค่อนข้างมาก ฉะนั้นโลว์ซีซันของโรงแรมจะน้อยลง เศรษฐกิจในเมืองค่อนข้างคึกคัก เศรษฐกิจนอกเมืองในช่วงปลายฝนต้นหนาวก็จะมีนักท่องเที่ยวจากจังหวัดใกล้เคียงมาเที่ยวน้ำตกค่อนข้างมาก บางส่วนก็มาจากกรุงเทพฯ

การทำงานของเราคือจะโปรโมททำโปรโมชั่นกับผู้ประกอบการต้องดังนิดหนึ่งแล้วก็อาศัยสื่อให้ช่วยปลุกกระแส เพราะว่าอีสานนี้คนไม่ค่อยรู้จักแหล่ง หลายคนบอกว่ามาอุบลฯแล้วจะเที่ยวอะไรดี เพราะฉะนั้นเรื่องประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องใหญ่ให้คนรู้ว่ามีอะไรแล้วก็อยากจะมาค้นหา อยากหาความรู้ ทำให้คนอยากมาเที่ยว

ล่องเรือ ชมความงามริมโขง
จริงๆแล้วที่อุบลฯมีความหลากหลาย เช่นหน้าร้อนคนจะมาเที่ยวเชื่อมกัน ไม่ได้มาที่ใดที่หนึ่ง เช่นมาสามพันโบกแล้วก็ไปแก่งตะนะ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวคนจะมาที่โขงเจียมเลย ไปผาแต้มแล้วก็ข้ามไปน้ำตกห้วยหลวง ทุกที่เป็นจุดเด่นหมดเลย แต่ว่าคนก็จะรู้จักผาแต้มหรือรู้จักสามพันโบกเป็นหลัก

การล่องเรือในแม่น้ำโขงจากบ้านผาชันไปยังสามพันโบก เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีมานานแล้ว แต่ว่าเพิ่งติดตลาดตอนที่มีสปอตโฆษณาของททท. ที่นี่จะเที่ยวได้ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ที่สวยที่สุดคือเดือนเมษายนเพราะเป็นหน้าร้อนน้ำในแม่น้ำโขงจะลดลงเยอะมาก นักท่องเที่ยวที่มาส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลักคือมาจากจังหวัดใกล้เคียง

มีทั้งวัดป่า-วัดบ้าน

ในส่วนของวัดเราเยอะมากในช่วงเทศกาล ช่วงสงกรานต์ แห่เทียนที่นี่คนจะเยอะ ที่นี่เป็นเมืองพุทธ วันพระใหญ่คนอุบลฯจะใส่ชุดขาวแล้วไปเวียนเทียนกัน เป็นภาพที่สวยงามมากเฉพาะวัดในเมืองก็จะเป็นวัดติด ๆ กัน มีพระพุทธรูป อย่างวัดบูรพา เป็นวัดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ที่ 4 วัดป่าสายธรรมยุติ เช่นวัดดอนธาตุของหลวงปู่เสาร์ เป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่มั่นที่ท่านเคยมาปฏิบัติวิปัสสนาที่นี่ เป็นสายวิปัสสนาเหมือนกัน 

นอกจากนี้ยังมีวัดหนองป่าพงของหลวงปู่ชา และวัดป่านานาชาติ ซึ่งมีเฉพาะชาวต่างชาติมาบวชและเป็นสายธรรมยุติคือฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร คนมาทำบุญที่อุบลฯรับรองไม่ผิดหวังเพราะมีวัดที่น่าเลื่อมใสเยอะมาก 

ยิ่งในตอนนี้เส้นทางบินก็สะดวก เพราะสายการบินแอร์เอเชียเปิดเที่ยวบินตรงจากเชียงใหม่มายังอุบลฯ ใช้เวลา 50 นาที แต่ถ้านั่งรถทัวร์มาอุบลฯจะใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมง ส่วนรถทัวร์จากภูเก็ตนั่งมายาวมากถึง 13-14 ชั่วโมง แต่พอสายการบินแอร์เอเชียเปิดใช้เวลาแค่ 50 นาที ราคาก็ไม่แตกต่างจากนั่งรถทัวร์เท่าไร คือนั่งรถทัวร์ 800 – 900 บาท ค่าเครื่องบิน 1,400 บาท ถือว่าถูกและสะดวกสบายมาก ถ้านักท่องเที่ยวที่มีกำลังมาเที่ยวอุบลฯสบายมาก มีเที่ยวบินสัปดาห์ละ 3 วัน

♠ ขบวนอัญเชิญพระแก้วบุษราคัม ♠

 ขบวนอัญเชิญพระแก้วบุษราคัม 






องค์พระแก้วบุษราคัม พระคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดอุบลราชธานี


น้ำหลวงพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
















แต่ละอย่างศิลปะแบบอุบลฯทั้งนั้น แบบฉบับจากราชสำนักช่างหลวงจากล้านช้างร่มขาว+ภูมิปัญญาสกุลช่างเมืองอุบลฯ







การศึกษาลักษณะการขยายตัวเติบโตของระบบเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

กระทรวงมหาดไทย เอื้อเฟื้อข้อมูล
การศึกษาลักษณะการขยายตัวเติบโตของระบบเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับแนวโน้มการขยายตัวของเมือง โครงการพัฒนาภาครัฐ การลงทุนของเอกชนศักยภาพและความพร้อมของเมือง ขนาดและบทบาท แบ่งออกเป็น 4 ลำดับ ดังนี้

เมืองลำดับ 1 เป็นเมืองขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางหลักของภาค ขอบเขตการให้บริการระหว่างจังหวัดในระดับภาคและระหว่างภาค มีความเชื่อมโยงกับกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นศูนย์กลางหลักของประเทศ ได้แก่
เมืองขอนแก่น เมืองนครราชสีมา เมืองอุดรธานี เมืองอุบลราชธานี เมืองมุกดาหาร

เมือง ลำดับ 2 เป็นเมืองขนาดใหญ่รองรับเมืองลำดับ 1 มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางให้บริการระดับรองของภาค มีบทบาทเป็นศูนย์กลางบริหารราชการระดับจังหวัดขนาดใหญ่ เป็นแหล่งงานด้านอุตสาหกรรมและการบริการได้แก่
เมืองมหาสารคาม เมืองนครพนม เมืองบุรีรัมย์ เมืองหนองคาย เมืองสกลนคร เมืองสุรินทร์ เมืองร้อยเอ็ด เมืองปากช่อง เมืองชุมแพ เมืองวารินชำราบ

เมือง ลำดับที่ 3 เป็นเมืองศูนย์กลางระดับอำเภอ ที่มีศักยภาพในการให้บริการระหว่างอำเภอภายในจังหวัด หรือในอำเภอในจังหวัดใกล้เคียง หากได้รับการส่งเสริมพัฒนาการลงทุนจะเป็นเมืองที่มีการขยายตัวได้เร็ว ได้แก่
เมืองศรีสะเกษ เมืองเลย เมืองกาฬสินธุ์ เมืองหนองบัวลำภู เมืองยโสธร เมืองชัยภูมิ เมืองอุบล เมืองนางรอง เมืองอำนาจเจริญ เมืองพล เมืองพิบูลมังสาหาร เมืองหนองบัว เมืองบ้านไผ่ เมืองบัวใหญ่ เมืองท่าบ่อ เมืองธาตุพนม เมืองโชคชัย เมืองสูงเนิน เมืองสีคิ้ว เมืองน้ำพอง

เมือง ลำดับ 4 เป็นเมืองมีศักยภาพในการให้บริการในเขตอิทธิพลไม่ไกลนัก มักเป็นศูนย์กลางระดับอำเภอภายในจังหวัด อาจเป็นเมืองที่มีบทบาทพิเศษ เหมาะที่จะพัฒนาให้บริการเฉพาะ ได้แก่ เมืองที่เหลืออีก 321 แห่ง

รับสร้างบ้านเหนือ-อีสานพุ่ง




ตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดบูมรับกำลังซื้อเพิ่ม* พีดี เฮ้าส์* ยอดขายโตในภาคเหนือและอีสาน* ขณะที่ยอดขายในกรุงเทพฯและปริมณฑล ต่ำกว่าเป้าฉุดยอดขายรวมต่ำกว่าที่คาด 11%* พร้อมเดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 2 แห่ง * ส่วนแบรนด์ "เอคิวโฮม"* เปิดอีก 2* สาขา* คาดยอดขายพีดี เฮ้าส์ทั้งปีทะลุ 1,400 ล้าน 

*นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้าน "พีดี เฮ้าส์" และ "เอคิวโฮม" เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาว่า* ตลาดมีการเติบโตและฟื้นตัวจากสาขาในต่างจังหวัดที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น* โดยเฉพาะในจังหวัดภาคอีสานและภาคเหนือ* ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สุรินทร์ สกลนคร นครสวรรค์ พิษณุโลก ต่างมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกแห่ง* ขณะที่ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลของกลุ่มบริษัทช่วงไตรมาสแรก กำลังซื้อยังไม่คึกคักนัก ทำให้ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกต่ำกว่าเป้าที่วางไว้

โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 300 ล้านบาท* ในขณะทุกสาขาของ พีดี เฮ้าส์ ทั่วประเทศสามารถทำยอดขายรวมได้เพียง 267 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 11% แต่เมื่อพิจารณาจากตลาดรวมรับสร้างบ้านที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวก็ถือว่ายอมรับได้* ส่วนปัจจัยที่ทำให้กำลังซื้อจากสาขาในต่างจังหวัดกลับฟื้นตัวชัดเจน* นั่นเป็นเพราะผู้บริโภคเลือกใช้บริการกับพีดี เฮ้าส์ เป็นเพราะ 1.ภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ และ 2.ความต้องการสร้างบ้านอนุรักษ์พลังงานหรือบ้านที่ก่อสร้างด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

*"ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้คือ ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทรับสร้างบ้านทั้งรายเล็กรายใหญ่ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่างเผชิญกับปัญหาดังกล่าวเหมือนๆ กัน ในส่วนของบริษัทเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์เอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง โดยนำระบบเสาคานสำเร็จรูปที่เรียกว่า Multi-Joint Lock System ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีแรงงานจำนวนมาก มาใช้แทนวิธีก่อสร้างบ้านแบบเดิมๆ รวมทั้งปีนี้ลูกค้าของบริษัทกว่า 70% สร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งยังสามารถหาแรงงานก่อสร้างฝีมือเข้ามาร่วมงานได้เพียงพอ กับปริมาณงานสร้างบ้าน ที่มีอยู่ในปัจจุบัน"* นายพิศาล กล่าวและว่า
*สำหรับแผนการขยายสาขาในไตรมาสสองนี้ บริษัทจะเปิดสาขาพีดี เฮ้าส์เพิ่มอีก 2 แห่งได้แก่ สาขาถนนพระราม 2 และสาขาจังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการขยายพื้นที่ให้บริการสร้างบ้านให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น รวมทั้งเตรียมเปิดศูนย์รับสร้างบ้านเอคิวโฮม พร้อมๆ กันอีก 2 สาขาคือ สาขานครปฐมและนครราชสีมา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท คาดว่าการขยายสาขาจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เติบโต ตามแผนการตลาดที่บริษัท วางไว้ปี 2555 นี้ 

อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาสสองนี้ บริษัทประเมินว่าความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก เนื่องเพราะความกังวลเรื่องปัญหาน้ำท่วมคลายลงมากแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำยอดขายเพิ่มได้อีก ทั้งนี้บริษัทเตรียมใช้งบการตลาดจำนวน 5 ล้านบาท ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมต่างๆ เช่น โฆษณาหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายบิลบอร์ด เว็บไซต์ เคเบิลทีวี และร่วมออกบูธในงาน Build Tech' 12 ระหว่างวันที่ 5-8 เมษายนนี้ ที่ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา โดยไตรมาส2 นี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 340-360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนประมาณ 30% จากเป้ายอดขายตลอดทั้งปีตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท